เทศน์เช้า

รู้เทียม-รู้แท้

๒o ก.พ. ๒๕๔๒

 

รู้เทียม-รู้แท้
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒
ณ วันสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

พอพูดถึงธรรม เวลาธรรมมันแสดงตัวเอง ธรรมะเทียม ธรรมะแท้ ธรรมะเทียมไง ความจริงเทียมความจริงแท้เหมือนกัน ความจริงเทียมน่ะ ร่างกายนี้เป็นเรือนรังของโรค โรคต่างๆ ออกมาจากร่างกายทั้งหมดเลย เราก็ว่าเกิดมาร่างกายก็ต้องตายไปเป็นธรรมดา แต่มันพูดกันที่ปาก มันไม่ได้เห็นตามความเป็นจริง มันรู้แต่ความจริงเทียมๆ ไง ความจริงเทียมไม่สามารถแก้ทุกข์ได้ ต้องเป็นความจริงแท้

เหมือนยา ยาปลอมมันกินเข้าไปก็ไม่รักษาโรค ร่างกายของเราสังเกตสิ เวลามันเกิดพุ เกิดหนอง เกิดอะไรขึ้นมา ใครๆ ก็รู้นะ เพราะสภาพสังคมสภาพวัฒนธรรมมันสอนกันมาไง ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเก่าแก่ นี่ความจริงเทียมๆ ไง ต้นไม้เกิดที่บนดินเห็นไหม ต้นไม้มันเกิดบนดินทั้งหมดเลย แผ่นดินนี่รับทุกอย่างทั้งสิ่งปลูกสร้าง ความเจริญรุ่งเรืองก็อยู่บนแผ่นดิน

ร่างกายก็เหมือนกัน ถ้าร่างกายนี้มันเป็นเรือนรังของโรค แต่หัวใจอาศัยร่างกาย เป็นมนุษย์ด้วย เวลาครูบาอาจารย์ภาวนาไป ยังติดขัดอยู่เห็นไหม พยายามจะให้มันหมดไป ห่วงไง ห่วงว่าถ้าตายแล้วต้องมาเกิดซ้ำเกิดซาก ต้องให้มันสิ้นไปเลย เห็นไหม ก็เหมือนกับการรักษาร่างกาย แต่ประสาโลกความจริงเทียมๆ มันไม่รักษาอย่างนั้นเลยนะ ห่วงแต่การตาย กลัวกับการตายมาก อยากให้มีชีวิตยืนยาวไง การรักษาเห็นไหม ชีวิตยืนยาวเพื่อจะประกอบบุญกุศล

การสร้างวัตถุ การสร้างโบสถ์วิหาร เป็นบุญทั้งหมด ครูบาอาจารย์ของเราสร้างพระเห็นไหม การสร้างพระพุทธรูป พระประธานนี่ได้บุญมากเลย พอได้บุญมากก็ส่งเสริมการสร้างพระ จนลืมการปฏิบัติชำระสะสางใจเห็นไหม มันเป็นความจริงทั้งหมด แต่ความจริงนั้นไม่บริสุทธิ์ ความจริงนั้นไม่ใช่ความจริงแท้ไง ความจริงเทียมๆ แต่มันเป็นความจริง

สมมุติบัญญัติเห็นไหม สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทั้งหลายนี้แปรสภาพทั้งหมด แม้แต่ธรรมบัญญัตินั้นก็เป็นความจริง แต่เป็นความจริงเทียมไง เอโก ธัมโม ธรรมอันเอกถึงสิ้นไปเป็นความจริงแท้ ความจริงแท้ต้องแก้ด้วยธรรมะแท้ มัคคะอริยสัจจังเห็นไหม วิปปยุต-สัมปยุต เข้าไปเรื่อย สัมปยุตเข้าไป คายวิมุตติออกมาเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป แล้วมันจะสะอาดๆ ไปเรื่อย

จะบอกว่าสละเลยมันก็ไม่ใช่ ว่าถ้าเป็นความจริงเทียมไม่ยอมรับรู้นี่ โลกรู้ความจริงเทียม ทำไมต้องมีการศึกษา ต้องมีการศึกษาเพื่อให้มันมีปัญญาขึ้นมา จากอาศัยความจริง ถึงจะไม่แท้ก็จับถึงต้นเชือกนี่ มันจะสาวไปถึงปลายเชือกได้ ถ้าต้นเชือกไม่ยอมรับความจริงว่าเป็นความจริงนะ จริงโดยสมมุตินี่มันก็ต้องยอมรับว่า จริงสมมุติก็คือความจริงเทียม แต่จริง จริงอยู่ชั่วคราว แต่มันจะเข้าถึงความจริงแท้ได้ถ้าเราขยับเข้าไป แต่พอเข้าถึงความจริงเทียมแล้วไม่ยอมขยับเขยื้อน เกาะแน่นอยู่กับความจริงเทียมนั่น มันก็เข้าถึงความจริงแท้ไม่ได้

ฉะนั้นจะปฏิเสธตรงไหน สิ่งใดไม่ได้ มันต้องอาศัยเนื่องกันไป สิ่งนั้นมีถึงมีสิ่งนั้นเข้าไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเราไม่ยอมสืบสาวเข้าไปเห็นไหม เพราะอะไร เพราะว่ากิเลส คำว่ากิเลสมันก็ลงที่กิเลสอีกแหละ กิเลสคือความไม่รู้ พอเข้าไปประสบสิ่งใดมันก็ว่าสิ่งนี้ประเสริฐ พอสิ่งนี้เกิดมันก็เกาะอยู่ตรงนั้นแหละ ก็ เอ๊ ทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมเป็นอย่างนั้น

คำว่าเป็นอย่างนั้นคือว่าหลงไง พอถึงสิ่งนั้นจะหลง จะหลงไป แม้แต่เป็นสมาธิเห็นไหม สมาธิก็ต้องแปรสภาพทั้งหมด แต่ถ้าได้สมาธินี่ ความสุขในสมาธินั้นจะตื่นเต้น ตื่นเต้นกับความเป็นไปว่า โอ้โฮ อันนี้เป็นผลๆ พอตื่นเต้นว่าเป็นผล ความหลงเห็นไหม

ความหลงนี้ถ้าใครพูดเรื่องความหลง หลงก็ต้องแก้ให้มันหลงสิ แต่จริงๆ เวลาไปหลงมันไม่รู้ว่ามันหลงนี่มันถึงว่ามันหลง ถ้ารู้มันหลงมันจะหลงได้ยังไง มันไม่รู้ว่าหลงมันถึงได้หลง มันไม่รู้ว่าอันนี้เป็นความจริงเทียมๆ ไง เข้าใจว่าเป็นความจริงแท้ไง พอเข้าใจว่าเป็นความจริงแท้ก็อยู่ที่ความเข้าใจแท้นั้นว่า ความจริงแท้นี้เป็นสิ่งที่ประเสริฐ แต่มันเป็นความจริงเทียมเห็นไหม เพราะความไม่รู้คืออวิชชา คือกิเลสเห็นไหม

แล้วบอกว่า หลง หลง หลงสิ หลงเพราะว่ามันจะแปรสภาพให้เห็นเด็ดขาดเลย นี่แปรสภาพช้าหรือเร็วล่ะ แต่พอเราเข้าไป เราพยายามจะทรงไว้ไง จะทรงความจริงเทียมไว้ มันเป็นความจริงเทียมโดยในตัวมันเองอยู่แล้ว แล้วพอเราเข้าไปประสบสิ่งนั้นว่าไม่รู้ ความหลงว่าเป็นความจริงแท้แล้วพยายามจะทรงไว้ ทรงไว้ แต่มันเป็นไปไม่ได้ มันต้องแปรสภาพไปเป็นธรรมดา

นี่มันถึงได้ว่าหลง พอรู้สึกตัวว่าหลงเหมือนกับคนหลงนี่ หลงอย่างหนึ่งนะ แล้วความจริงก็แปรสภาพอีกอย่างหนึ่งนะ แล้วจิตเสื่อมนั้นไปอีกอย่างหนึ่ง มันทุกข์ ๓ ชั้น ๔ ชั้น ถึงว่าจิตเสื่อมนั้นเป็นความทุกข์มาก คนที่ภาวนาเข้าไปแล้วจิตเสื่อมนี่เป็นความทุกข์มาก ถึงกับอยู่ไม่ได้ ผ้าเหลืองยังร้อนจนต้องสึกออกไป เพราะมันร้อน ร้อนในความที่ว่าเสียดายสมบัติ สมบัติเรามีอยู่แล้วหลุดมือออกไปหนึ่ง แล้วกว่าจะเตาะแตะขึ้นมาสร้างขึ้นมาอีกหนึ่ง แล้วไปทุกข์ในความเพียรอีก อู้ฮู มันตะเกียกตะกายไม่ไหวน่ะ มันตะเกียกตะกายไม่ไหวมันก็ถอดใจ ท้อใจ

มันเป็นไปตามความเป็นจริงเลย มันต้องเป็นประสบการณ์ เป็นการทำเข้าไป ถึงว่าต้องอาศัยครูบาอาจารย์เข้าไป จะเข้าไปๆๆๆ แล้วสาวเข้าไป จากความจริงเทียมๆ นั่นแหละเข้าไป เอ้า ทำไมมีปริยัติ มีปฏิบัติ มีปฏิเวธ ทำไมมีสุตมยปัญญา มีจินตมยปัญญา มีภาวนามยปัญญา ถ้าไม่มีสุตมยปัญญาจะเอาที่ไหนมา ถ้าไม่มีปริยัติจะเอาปฏิบัติที่ไหนมา ปฏิบัติไม่ถูก แล้วปฏิบัติแล้วปฏิบัติเข้าทางมันจะไปไหน ถ้าไม่ลงปฏิเวธ แต่ถ้าไม่มีปริยัติเลยล่ะ

แต่นี้พอไปปริยัติแล้วจินตนาการว่าสิ่งนั้นเป็นไง พอปริยัติปั๊บนี่ พอภาวนาเกิดขึ้น เพราะอะไร เพราะธรรมชาติของใจเป็นธรรมชาติที่รับรู้สิ่งอะไรต่างๆ เห็นไหม แล้วพอมีปริยัติเข้าไป มันก็เปิดช่องให้แล้วว่าจะเข้าตรงนั้น เพราะว่าปริยัติมันรู้วิธีการ ธรรมชาติของใจเป็นสิ่งที่รับรู้อารมณ์ต่างๆ มันก็สร้างอารมณ์นั้นขึ้นมา เวลาภาวนาขึ้นไปจะเป็นอย่างนั้น ถึงว่าต้องวางปริยัติให้ได้ ศึกษาไว้เป็นแค่แนวทางไง แผนที่ประเทศแค่บอกทาง การเดินก้าวไปต้องเป็นที่เรา ไม่ดูแผนที่เราก็ว่าเราถึงแล้วไง เรานั่งอยู่นี่เห็นไหม ดูแผนที่ นี่กรุงเทพ เอ้า ถึงแล้ว ความรู้สึกว่าถึงแล้วถึงทันทีเลย ถึงๆๆๆ ตลอด แต่จริงๆ ตัวเรานั่งอยู่กรุงเทพยังไม่ได้ก้าวเดินไปไหนเลย

ในเวลาปฏิบัติก็เหมือนกัน เวลาเรียนปริยัติมาแล้วนี่ เห็นไหม ธรรมชาติของใจเป็นผู้รู้ มันก็สร้างอารมณ์อย่างนั้น รับรู้อย่างนั้น แล้วไปอย่างนั้น ถึงบอกว่ามันหลงโดยที่ไม่รู้ตัวมันเอง ถึงว่าเป็นความจริงเทียมไง ต้องสละอันนี้ให้ได้ ต้องทำให้ได้ ต้องก้าวเดินให้ได้ แต่นี่มันเกาะติด พอเกาะติดแล้วก็โต้เถียงไง เกาะติดในความจริงเทียมๆ นั้น แล้วความจริงเทียมๆ นั้นเราจะปฏิเสธว่าไม่ใช่ มันก็ใช่น่ะ ปฏิเสธว่ามันไม่มี มันก็มี แต่มันต้องก้าวต้องปล่อยวางขึ้นไป มันถึงขึ้นไปตรงนั้นๆ ก้าวไปเรื่อยไง ศึกษามารู้มาก็ยึด ศึกษารู้มาเพื่อให้ฆ่าตัวตายไง เพื่อมาเชือดคอตัวเองไง ยึดไว้ตรงนั้นว่าตรงนั้นถูกตรงนี้ต้อง มันถูกนี่ มันเป็นความจริงเทียมๆ นี่ ความจริงที่เรารู้มาเห็นไหม แล้วใจก็ว่าไปๆ เกาะไป ยึดไปๆๆ จะว่าไม่เป็นความจริงก็เป็นความจริง

อย่างที่ว่าสร้างพระพุทธรูปนี่ ไม่ได้บุญเหรอ ใครว่าได้บุญมหาศาลเลยการสร้างพระพุทธรูป พระประธานนี่ใครก็ต้องมากราบมาไหว้ ให้เราว่าเราก็ว่ามีบุญมากเลย แต่สร้างพระพุทธรูปมานี่ได้บุญ บุญก็คือนี่เห็นไหมความจริงเทียม มันยังเป็นความจริงอยู่ ความจริงแน่นอน แต่มันเทียม เพราะมันอยู่ในกฎเห็นไหม สัพเพ ธัมมา อนัตตา คือว่าต้องก้าวขึ้นไปๆๆๆ

ฉะนั้นเวลาจะปฏิเสธมันปฏิเสธไม่ได้ แต่เราว่าอยู่ตรงไหน อยู่ตรงไหนของขั้นของความจริง อยู่ตรงไหนขั้นของธรรมเทียมและธรรมจริง ธรรมแท้ไง ธรรมแท้เท่านั้นถึงแก้กิเลสได้ ขนาดว่ายานะ ยังมียาเทียม ยาปลอมกับยาจริง ยานั้นถึงเป็นยาจริงกินแล้วก็ยังมีรสข้างเคียง ฟังสิ ทั้งๆ ที่เป็นยาจริงนะ แล้วยาปลอมที่ว่าเขาขายกันน่ะ กินเข้าไปไม่มีประโยชน์เลย แต่อุปาทานบางทีมันก็ว่าหายได้นะ เพราะว่าบางอย่างมันหายด้วยความอุปาทาน กินเข้านี่ไม่รู้หรอก โอ้ มันก็หายไป ยาปลอมๆ นั่นแหละ

นี่ชักมาให้ดูว่าความจริงแท้ความจริงเทียม แล้วเราจะติดอยู่ตรงไหน เราจะเข้าใจตรงไหน เข้าใจว่า แหม เข้ามาศึกษา เข้ามาแล้วรู้จริง แหม เป็นผู้รู้ เป็นผู้จะไปตัดสินต่างๆ นี่ตัดสินไม่ได้หรอก มันจะตัดสินได้มันต้องตัดสินในหัวใจ หลงโดยที่ไม่รู้ว่าหลง ไม่เข้าใจโดยไม่รู้ว่าไม่เข้าใจ แต่มันเข้าใจว่าเข้าใจเพราะมันเป็นอวิชชา อวิชชาคือความรู้ที่ส่งออก รู้ที่รู้ไป ไม่รู้การยับยั้งเข้ามา ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ ไม่มีทางเลย

มันต้องลองผิดลองถูกไปอย่างนี้ อดีต-อนาคต แล้วปัจจุบันมาดูกันว่านี่อารมณ์นี้เป็นอารมณ์อดีตนี่ เหมือนกับเศษอารมณ์ ทำไมเราไปกินอยู่ แล้วว่าแต่สอนแต่คนอื่นไง ว่าอดีตมันเป็นเหมือนกับเสลดที่คายทิ้งไป ทำไมเลียกินอยู่ แต่ทำไมเราพูดถึงอารมณ์เก่าตลอด เวลาพูดถึงอะไรจะบอกเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้น อันนั้นมันเป็นเหตุ เป็นปัจจัย เป็นเหตุถึงมีผล เหตุปัจจัยส่งมาเป็นผลในปัจจุบันนี้

เวลาพูดถึงว่าเหตุอันนั้นมันถึงเป็นอย่างนี้ๆๆๆ เหตุต่างหากมีผล ถ้าไม่มี ผลอยู่นี่มันเกิดจากอะไร ผลที่เป็นกันอยู่นี่มันเกิดมาจากอะไร ถ้าไม่สาวไปหาเหตุ พอสาวไปหาเหตุก็ไม่ได้ไปกินอารมณ์เก่า ไม่ได้จากอารมณ์เก่านั้นมาเป็นต้นเหตุ แต่เหตุมันเกิดจากผลมา ผลอันนั้นมันต้องสาวไปหาเหตุ หาเหตุแล้วก็จบไง เหตุและผลรวมลงเป็นธรรม ไม่ได้สงสัยว่าเหตุที่เกิดอยู่นี่เป็นเพราะอะไร

เหตุที่มันเกิดอยู่นี่เป็นเพราะตรงนั้นๆ มันมาต่างหากล่ะ แต่ถ้าคนไปเลียกินนี่ มันไปยึดเลยล่ะ เพราะเราไม่รู้เรายึดเลย พอยึดเลยก็คนอื่นต้องคิดอย่างนี้ คนอื่นต้องคิดอย่างนี้ คนอื่นต้องทำแบบนี้ไง ยัง ยังไม่ถึงหรอก ธรรมเหนือโลก ธรรมเหนือโลกนี่ทำไมตัดสินโลกไม่ได้ แล้วเอาโลกมาเหนือธรรมน่ะ เอาความคิดของโลกมาตัดสินธรรม มันจะเป็นไปได้อย่างไร เอาความคิดของโลก เอาความคิดที่ว่ากาวตราช้างนี่ขยับหน่อยก็ติดหมด ติดไปทุกแง่ทุกมุม ขยับไม่ได้เลย ขุ่นทั้งตัวเลยเพราะมันเป็นกาว มันเหนียวไปหมด นั่นคือตัวกิเลสไง

กับสิ่งที่เหนือไป สิ่งที่ว่าไม่มีไง สิ่งที่ว่าแผ่นดินก็ไม่มี ต้นไม้ก็ไม่มี สิ่งปลูกสร้างก็ไม่มี เพราะมันสะอาดบริสุทธิ์ไปแล้ว มันไม่ติดอะไรทั้งสิ้นเห็นไหม แม้แต่ของวิ่งเข้าไปติดมัน มันยังไม่ติดด้วยเลย แต่เวลาตัดสินทำไมเอาอันนี้ไปตัดสินตรงนั้น ตัดสินมันจะตัดสินได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ แต่ตัดสิน ต้องเป็นอย่างนั้นๆๆ แล้วพอถึงจุดสรุปแล้วก็ไปทำงานอย่างนั้นมา แล้วทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ ถึงจุดนั้นแล้วไม่เป็นอย่างนี้เด็ดขาด แต่เพราะเอาโลกตัดสินไงว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น

คนเราเกิดมาต้องตายหมด ไม่มีใครที่จะกลับมาเป็นเด็กได้หรอก เซลล์ที่มันเกิดมาในร่างกายนี่ ถึงอายุขัยแล้วมันต้องตายไปแล้วเปลี่ยนเป็นเซลล์ใหม่ เราจะไปห่วงอาทรเจอตัวเก่าอยู่ที่ไหน พยายามจะสร้างขึ้นมา เป็นไปไม่ได้ ไอ้นี่เหมือนกัน เหตุการณ์มันผ่านไป อดีตมันจะเป็นเหมือนเก่าเป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้หรอก กาลเวลามันผ่านไปแล้ว นี่กาลเวลามันผ่านไป จะไปยึดอะไรกลับมา

แต่มันเป็นเหตุ มันถึงมีผลตรงนี้ต่างหากล่ะ เหตุและปัจจัย ความจริงเทียมๆ ทำเทียมๆ ทั้งนั้น ทุกอย่างเป็นของเทียมทั้งหมด แต่เอามาตัดสินความเป็นจริงไง นี่ถึงว่าธรรมแท้มันถึงเป็นธรรมแท้ ธรรมไม่แท้แล้วคิดเอาจินตนาการเอา จินตนาการออกมาจากอวิชชาปัจจยา สังขาราไง เหตุนี้มีถึงมีเหตุนั้น เหตุนั้นมีถึงมีเหตุนั้น เอาความจริงเทียมๆ นี่ เอาธรรมเทียมๆ นี่ แต่ไอ้ตัวในมันว่าเป็นตัวแท้ไง เป็นว่าข้ารู้แน่ ข้าอยู่กับของจริงไง

กอดตู้พระไตรปิฎกอยู่ของไม่จริงเหรอ พระพุทธเจ้าเทศน์ไว้สอนไว้นี่ จำมาหมดเลย ๙ ประโยค ๑๐ ประโยคโน่นน่ะ แต่เวลามันตัดสินความคิดเห็นของตัวเองตัดสินไม่ได้เลย แต่นี่ฟังเฉยๆ จำเฉยๆ ไง แต่ว่า โอ้โหย เป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องไง ไอ้ที่พูดออกมานั้นกิเลสล้วนๆ ไง ไอ้คนฟังก็ว่าธรรมล้วนๆ ไง เอาอะไร มีแต่กิเลสมาล้วนๆ ต้องอยู่ในอาณัติทั้งหมดเลย กิเลสล้วนๆ ไง ความจริงเทียมๆ ต้องตัดสินเอา

คิดถึงเวลามันป่วยไง ร่างกายเห็นไหม รู้ รู้ทั้งนั้นล่ะ มันต้องเป็นอย่างนั้นๆๆ เป็นเรือนรังของโรค แต่ถ้าเป็นฝ่ายปฏิบัติมันก็คิดอีกแหละ มันต้องรักษาไว้ เรือลำหนึ่งต้องพาเข้าฝั่งให้ได้ ผู้อาศัยเรือนั้นจะเข้าฝั่ง ถึงฝั่งได้ขึ้นบนไป อยู่กลางแม่น้ำเรือนั้นจะเคว้งคว้างไม่ได้ การรักษากายของผู้มีสติปัญญาเพื่อเป็นประโยชน์กับโลกอย่างหนึ่ง

แต่ถ้ากิเลสมันรักษา มันรักษาอย่างไร มันรักษาด้วยความกังวลไง มันรักษาด้วยความทุกข์ไง แต่ขณะที่เป็นกิเลสอยู่ มันต้องพิจารณาให้เห็นว่านี่เป็นเรือนรังของโรค มันต้องแปรสภาพไปเป็นธรรมดา คือว่าพิจารณาวิปัสสนาเพื่อให้อุปาทานนั้นปล่อยวาง ปล่อยวางแล้วมันก็ต้องรักษากันต่อไป นี่ขณะวิปัสสนานั้นเพื่อให้เห็นตามความเป็นจริงไง ให้ธรรมแท้ ให้ยาแท้มันเข้าไปแก้ใจ ให้ใจนั้นหมดจากเชื้อโรคไง หมดจากกิเลส ให้มันปล่อยอุปาทาน แต่ถึงเวลาแล้วต้องรักษาไปเพื่อเป็นประโยชน์เห็นไหม

เพราะมันเป็นพาหะ มันเป็นสิ่งที่นำไป แต่สิ่งที่นำไปนั้นจะเป็นประโยชน์หรือจะเป็นโทษ นำไปถึงจุดไหนก็เป็นประโยชน์ นำไปประสบอุบัติเหตุ นำไปก่อเวรก่อกรรม มันก็เป็นโทษไปทั้งหมด นั่นน่ะการนำไปก่อเวรก่อกรรมมันไม่ใช่ว่านำไปเป็นประโยชน์ เพราะว่ากิเลสมันพาให้ก่อเวรก่อกรรมตลอด มันเป็นกาวตราช้าง มันติดไปตลอด มันมีเหตุผลไปตลอด ต้องติดไปตลอด แต่ธรรมะเข้าไปแก้

ธรรมะเข้าไปแก้นี่ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นยามาจากข้างนอก กิเลสมันอยู่ในถ้ำ มันอยู่ในหัวใจนี่มันอยู่ข้างใน ฉะนั้นธรรมะเข้ามาขนาดไหน ธรรมะนี้ก็ต้องเจือปนด้วยของปลอมก่อน ถึงว่าเทียมก่อน เทียมก่อนถึงว่าเป็นปริยัติไง ถึงเป็นปฏิบัติอยู่ ปฏิบัติกิเลสมันก็หลอกท่ามกลางนั่งสมาธิ กิเลสมันจะหลอกอยู่ท่ามกลางวิปัสสนาเลย กำลังต่อสู้กันมันก็ยังจะหลอกอยู่ในตรงปัจจุบันนั้น หลอกบอกว่าถึงแล้ว หลอกเรามาตลอดเห็นไหม คือว่าธรรมะมาจากข้างนอก ไม่ใช่ว่าจดจำพระไตรปิฎกมาแล้วเป็นธรรมบริสุทธิ์ ไม่ใช่

ยาอยู่ในขวดนี่บริสุทธิ์ มันเป็นยาบริสุทธิ์ แต่กินเข้าไปเชื้อโรคมันผสมเข้าไปกับยา มันก็ต้องมีการต่อสู้ นั่นน่ะนะ นั่นคือเทียมจากเรา เทียมจากอวิชชา เทียมจากข้างใน เทียมจากความไม่รู้ของเราต่างหาก แล้วไปตีค่า บังคับให้เป็นตามความเห็นของตัวเห็นไหม นั่นถึงว่าธรรมะพระพุทธเจ้าอยู่ข้างนอก ประโยชน์จริงๆ นะ แต่เป็นโทษเพราะกิเลสเราต่างหาก เป็นโทษเพราะเชื้อโรคจากในหัวใจของเราบังคับให้เป็น เป็นความเห็นของตนไง ถึงว่ากอดอยู่นั่นแหละ อยู่กับธรรมแท้ๆ เลยนะ อยู่กับสังเวียนแท้ๆ เลย ต้องพิจารณาเอาแล้วศึกษาเอา ถึงว่ามาเพื่อบุญกุศลหรือว่ามาเพื่อไม่มีบุญกุศล (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)